Follow Me

If you never try Let's go

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2550

Fwd: อย่าเป็น "นักฆ่าความฝัน" กันเลยนะ

---------- Forwarded message ----------
From: PHIMPORN KIJPRACHOOM <phimpornkij@gmail.com>
Date: Aug 22, 2007 4:32 PM
Subject: Fwd: อย่าเป็น "นักฆ่าความฝัน" กันเลยนะ
To: me <phimpornkij.bamboobasket@blogger.com>



<phimpornkij@gmail.com>
Date: Jul 4, 2007 12:26 PM
Subject: อย่าเป็น "นักฆ่าความฝัน" กันเลยนะ


เคยได้ยินประโยทำนองนี้กันบ้างไหมครับ บทสนทนาในละครฉากเล็กๆ ของชีวิตจริง
ลูกชาย - "พ่อ เห็นตึกสี่ชั้นที่อยู่หน้าหมู่บ้านนั่นไหม เขาติดประกาศขายแล้ว ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย
หน้ามันกว้างดี จอดรถน่าจะได้สองคันสบายๆ เลยนะพ่อ"
พ่อ - "ไหน? หลังไหน ร้านหนังสือเก่านั่นน่ะเหรอ ละเมอไปหรือเปล่า อย่างเราจะมีปัญญาไปซื้ออย่างไรไหว"
ลูกชาย - ลองโทรไปถามหน่อยไม่ดีหรือ เผื่อเอาเข้าแบงค์แล้ว ขยับขยายร้านได้ใหญ่ขึ้น"
พ่อ - "เสียเวลา เสียค่าโทรศัพท์เปล่าๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเถอะ"
-------------------------
สามี - "ไปเที่ยวยุโรปก้นไหม กลางๆ ปีเขาว่าไม่หนาวมาก อยากไปเห็นเมืองนอกบ้าง"
ภรรยา - "ไปต่างประเทศ คุณจะมีเวลาเหรอ แล้วเรื่องเงินอีก ไหนจะค่าตั๋ว ค่าที่พัก แล้วยังต้องซื้อของฝาก
คนอื่นอีกล่ะ โอย! ยุ่งยากเปล่าๆ อย่าคิดอะไรเกินตัวนักสิ"
--------------------------
บางทีผมก็แอบเรียกคนมองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้ว่า "นักฆ่าความฝัน"
ในสังคมรอบๆ ตัวท่านผู้อ่านก็คงมีให้เห็นกันบ้างล่ะครับ ทั้งแบบนักฆ่าสมัครเล่นที่มองอะไรก็เห็นว่าเป็นไปไม่ได้
หมด กับพวกนักฆ่ามืออาชีพ พวกนี้ต่างจากพวกสมัครเล่น ก็คือไม่เพียงแต่มองไม่เห็นความเป็นไปได้แค่นั้น พวกนี้ยังออกโรงออกแรงค้านที่มาช่วยติงช่วยติ
แต่อย่ายอมให้เขาฆ่าความฝันเราได้นะครับ
ที่สำคัญที่สุด หากเราทำให้ฝันที่เขาดูแคลนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างให้เขาเห็นได้บ่อยๆ ต่อไปเขาก็จะไม่กล้าฆ่าความฝันใครอีก แม้แต่ของตัวเอง
มีกรณีศึกษาจากนักจิตวิทยาที่ผมเคยอ่านเจอ นักฆ่าความฝันพวกนี้ มักมีปมในวัยเด็กกับประสบการณ์แย่ๆ เช่น พ่อกับแม่ชอบสัญญิง สัญญาอะไรกับเขาแล้วไม่เคยทำได้สักครั้ง คงเคยเห็นใช่ไหมครับ พ่อแม่ที่รับปากลูกไปวันๆ ฝันอันงดงามในความรู้สึกของเด็กจึงกลายเป็นฝันลมๆ แล้งๆ แทบทุกครั้ง หนักเข้าก็เริ่มไม่วางใจใคร สุดท้ายการมองโลกในแง่ร้ายก็เลยฝังลึกลงก้นบึ้งจิตใจ
ไม่มีอะไรแนะนำมากกว่านี้ครับ นอกจากขออนุญาตเล่าถึงโครงการแปลกๆ ในอดีตให้ฟังกัน
โครงการพวกนี้ล้วนเคยเป็น โครงการที่ไม่น่าสนใจ แทบทั้งสิ้นครับ
อากิโอะ โมริตะ ประธานฯ บริษัทโซนี่ มองเห็น อีฟูกะ ผู้ร่วมก่อตั้งโซนี่อีกคนหนึ่งชอบหิ้วเครื่องเล่นเทป พร้อมกับหูฟังติดอยู่ที่หูเดินไปไหนมาไหนอยู่เรื่อย จึงออกปากถามเหตุผล อีฟูกะ บอกว่าเขาชอบฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ เดินไปนั่งตรงไหนก็อยากเอาเพลงไปฟังด้วย แต่ไม่อยากเปิดเบาๆ และก็ไม่อยากให้หนวกหูคนอื่น จึงจำต้องใช้หูฟัง
อากิโอะ ได้ยินเข้าเท่านั้น ความคิดก็สว่างวาบขึ้นมาทันที ถ้าเขาจะทำสินค้าชนิดใหม่ออกขาย โดยคิดย่อเครื่องเล่นเทปให้เล็กลง พร้อมหูฟังที่เล็กลงด้วยจะเกิดอะไรขึ้น
ใช่ครับ จุดกำเนิดซาวนด์อะเบาต์ มันเกิดง่ายๆ อย่างนี้แหล่ะครับ
แต่ฝ่ายการตลาดไม่เห็นด้วยกับสินค้าตัวนี้ คำวิจารณ์แรงๆ ก็คือ "จะมีใครที่ไหนโง่มาซื้อเครื่องเล่นเทปที่ไม่มีส่วนของการบันทึกเสียง"
อากิโอะไม่คิดอย่างนั้น เขาไม่ยอมให้ใครฆ่าความฝันของเขา เขาเชื่อว่าซาวนด์อะเบาต์นั้นมีไว้เพื่อฟังไม่ใช่เพื่ออัด การจะใส่ส่วนของการบันทึกเสียงลงไปด้วยนั้น จะทำให้เครื่องใหญ่ขึ้น และเพื่อไม่ทะเลาะกับฝ่ายการตลาด เขาขอเป้าการขายแค่เพียงปีละหนึ่งแสนเครื่องเท่านั้น และไม่ต้องทุ่มโฆษณาให้สินค้าตัวนี้มากนักด้วย ปีแรกที่วางตลาดซาวนด์อะเบาต์ ทำยอดจำหน่ายให้โซนี่เท่าไรรู้ไหมครับ
สี่ล้านเครื่อง!
เรื่องราวของอากิโอะนั้นคล้ายๆ กับ บิล เลียร์ แต่ตอนจบกลับไม่เหมือนกัน
บิล เลียร์ คิดเรื่องวิทยุติดรถยนต์ขึ้นมาครั้งแรก คนรอบๆ ข้างเขาต่างรุมถล่มความฝันอันบรรเจิดของเขาอย่างหูดับตับไหม้ ความเห็นที่มองไปทางเดียวกันก็คือ "มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะติดวิทยุไว้ในรถ เพราะมันจะทำให้คนชับเสียสมาธิได้" ไม่รู้ว่าเลียร์ไม่หนักแน่นพอ หรือนักฆ่าพวกนั้นออกอาวุธหนักเสียจนเลียร์ตั้งตัวไม่ติด เขายอมขายความคิดนี้ให้กับบริษัท กัลวิน แมนูแฟคเตอร์ ไป
ขายดีแค่ไหน คงไม่ต้องบอกกันนะครับ
หลังจากร่ำรวยจากวิทยุติดรถยนต์ บริษัท กัลวิน ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น โมโตโรลา บริษัทที่เป็นยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งในวงการโทรศัพท์มือถือตอนนี้
พูดถึงโทรศัพท์มือถือ นี่ถ้า เกรแฮม เบลล์ ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์รู้ว่าทุกวันนี้ มีคนบนโลกใช้โทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่วินาทีเดียวเขาคงดีใจที่สุด เพราะตอนที่เบลล์เพิ่งทดลองโทรศัพท์ข้ามแม่น้ำสำเร็จใหม่ๆ เมื่อร้อยสามสิบปีก่อน มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งดูแคลนสิ่งประดิษฐ์ของเบลล์ว่า " ของเล่นอันนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะใช้ทำอะไรได้"
ปี พ.ศ. 2505 บริษัทแผ่นเสียงยักษ์ใหญ่ เดคค้า เรคคอร์ด ปฎิเสธงานของวงดนตรีหน้าใหม่วงหนึ่งด้วยเหตุผลที่ว่า "เพลงที่เล่นด้วยกีตาร์ กำลังจะหมดสมัยแล้ว" แต่หลังจากคำพูดนั้นมาจนถึงวันนี้ วงดนตรีที่ถูกสบประมาทวงนั้นก็บรรเลงเพลงให้คนทั้งโลกฟังด้วยเสียงกีตาร์มาตลอดครึ่งศตวรรษอย่างยิ่งใหญ่ หรือใครจะเถียงว่า เดอะบีทเทิลส์ ไม่ยิ่งใหญ่
ใกล้ๆ ตัวนี่เลยครับ จา พนม ที่กำลังเนื้อหอมในต่างประเทศจากหนังเรื่อง องค์บาก ก็เคยถูกคำวิจารณ์จากบริษัทเก่าที่จาเคยเซ็นสัญญาด้วยว่า "เขาไม่มีเสน่ห์พอ ถ้าจะทำหนังให้เขาเล่น เขาต้องประกบกับพระเอกที่หล่อกว่าเขา" ไม่รู้ว่าปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับองค์บาก ประชดประชันหรือคิดอะไรอยู่ หลังจากมาเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่ เขาให้จา เล่นหนังเรื่องแรกโดยประกบหม่ำ จ๊กมก เสียเลย
มองคำทักท้วงเหล่านี้เป็นมิตรสิครับ แล้วเอาชนะมันให้เขาเห็น
เมื่อ 60 ปีก่อน โทมัส วัตสัน ประธานไอบีเอ็ม ยังเคยพูดถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเลยว่า "ตลาดของพีซีทั้งโลก น่าจะมีประมาณห้าเครื่องได้มั้ง" ดีนะครับที่สุดท้ายแล้วผู้บริหารรุ่นหลังของไอบีเอ็มไม่ได้เชื่อคำพูด ของวัตสัน
ประโยคสกัดดาวรุ่งประโยคสุดท้ายครับ เป็นของนักฝันชื่อดัง บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์
ฟังประโยคนี้แล้วอย่าหัวเราะดังนะครับ บิล เกตส์ พูดไว้เมื่อปี พ.ศ. 2511 คนเรานี่บางทีก็เผลอเป็นนักฆ่าความฝันตัวเองไปเหมือนกัน เขาพยากรณ์ถึงหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในอนาคตว่า
"640k ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับทุกๆ คน"
จากบทความของคุณประภาศ ชลศรานนท์ มติชน ฉบับ วันอาทิตย์ ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2548
อ่านแล้วชอบมากๆ อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

My Favorite